โรงแรมมาดูซิ Maduzi Hotel กรุงเทพฯ เป็นโรงแรมสไตล์บูติกขนาดเล็กที่ให้บริการห้องพักจำนวน 40 ห้อง ตั้งอยู่บริเวณถนน อโศก – สุขุมวิท ใช้เวลาเดินทางจากสถานีรถไฟฟ้าอโศก และสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินเอ็มอาร์ที เพียงไม่กี่นาทีเข้าสู่ตัวโรงแรม
โรงแรมมาดูซิ (Maduzi Hotel) กรุงเทพฯ โรงแรมยอดเยี่ยม จาก booking.com
มาดูซิพร้อมมอบความเป็นส่วนตัวและบริการระดับ 5 ดาวที่จะจัดสรรให้ตรงตามความต้องการของลูกค้าแต่ละบุคคล และยังมีนโยบายปิดประตูทางเข้าโรงแรมตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อมอบความเป็นส่วนตัวสูงสุดและสร้างความปลอดภัยให้กับลูกค้า โดยให้บริการห้องพักที่กว้างขวางพร้อมจากุซซี่ส่วนตัว, เครื่องชงกาแฟ และสิ่งอำนวยความสะดวกทันสมัยอีกมากมาย มาดูซิพร้อมสรรสร้างประสบการณ์การพักผ่อนที่มีระดับที่จะตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างแท้จริง
โรงแรมมาดูซิ กรุงเทพฯ ได้รับรางวัลโรงแรมยอดเยี่ยมประจําปี 2557 จากเว็บไซต์ Booking.com เว็บไซต์ให้บริการสํารองห้องพักชั้นนําของโลก โดยได้รับคะแนน 9.2 คะแนน วัดจากความพึงพอใจโดยรวมและจากการรีวิวโรงแรมของแขกผู้มาเยือน ตอกย้ำมาตรฐานการให้บริการระดับสากล และสิ่งอํานวยความสะดวกที่ครบครันและทันสมัย
รางวัลดังกล่าวมอบให้แก่โรงแรมที่มีคะแนนเฉลี่ยอยู่ในเกณฑ์สูง (มากกว่า 8 คะแนนขึ้นไป) พิจารณาจากความพึงพอใจของแขกผู้เข้าพักจากทั่วโลก
เว็บไซต์ http://www.maduzihotel.com/
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ โรงแรม แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ โรงแรม แสดงบทความทั้งหมด
วันจันทร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
วันอังคารที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
บูติก โฮเต็ล (Boutique Hotel) คือ?
ความรู้เกี่ยวกับ บูติก โฮเต็ล (Boutique Hotel) ในรายงานเรื่อง "การศึกษาโครงสร้างและผลการดำเนินงานของโรงแรมบูติคโฮเทล เปรียบเทียบกับโรงแรมระดับมาตรฐานทั่วไป" ของ จารุณี สุนทรนาค คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ระบุว่า โรงแรมบูติคโฮเทล คือโรงแรมขนาดเล็ก มีห้องพักจำนวนไม่มาก แต่เน้นการตกแต่งทางสถาปัตยกรรมที่มีเอกลักษณ์ การให้บริการที่ใกล้ชิดกับลูกค้า โดยเน้นลูกค้าระดับบน
บูติคโฮเทลเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อต้นปีค.ศ.1980 จนปีถัดมาบูติคโฮเทล 2 แห่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการ คือ เดอะ เบลก-The Blake ในกรุงลอนดอน ประเทศ อังกฤษ ด้วยจำนวนห้องพักเพียง 50 ห้อง และเดอะ เบดฟอร์ด-The Bedford ในซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา ก่อนขยายสู่ทั่วโลก
บูติคโฮเทลมีชื่อเรียกแตกต่างกันหลายชื่อ ไม่ว่าจะเป็น "ฟังกี้ ชิก Funky-Chic" หรือ "ฮิป โฮเต็ล Hip-hotel" จนกระทั่งโรงแรมเดอะเบลกใช้คำว่า Boutique Hotel อย่างเป็นทางการ ความหมายของ Boutique (n) ตามพจนานุกรมออกซ์ฟอร์ด คือร้านขนาดเล็ก มักขายเสื้อผ้าและเครื่องประดับที่ทันสมัย อย่างไรก็ตามปัจจุบันยังไม่มีการให้นิยามแก่บูติคโฮเทลได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นลักษณะของการตกแต่ง และจำนวนห้องพัก แต่ส่วนใหญ่ให้ความหมายตามลักษณะของโรงแรมที่ประสบความสำเร็จ
ลักษณะเด่นของบูติคโฮเทล ที่ได้รับการยอมรับว่าทำให้ต่างจากโรงแรมระดับมาตรฐานทั่วไปมีอยู่ 3 ด้าน คือ 1.ด้านสถาปัตยกรรม (Architecture and design Style) เน้นการตกแต่งที่มีเอกลักษณ์ที่สอดคล้องกับความเป็นตัวตนของลูกค้า บางแห่งตกแต่งแบบโบราณ บางแห่งตกแต่งแบบทันสมัย ทั้งนี้ บูติคโฮเทลที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่มักตกแต่งโดยผสมผสานด้านประวัติศาสตร์กับความทันสมัย เพราะสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้มากกว่าการเน้นไปในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง
2.ด้านการบริการ (Service) เน้นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างพนักงานกับลูกค้า ซึ่งบางแห่งพนักงานทุกคนจำชื่อลูกค้าที่เข้าพักได้ ทำให้ ลูกค้าเกิดความรู้สึกอบอุ่นเสมือนเป็นคนพิเศษ ในขณะที่โรงแรมทั่วไป หรือโรงแรมที่มีเครือข่ายขนาดใหญ่ไม่สามารถทำได้เพราะมีจำนวนห้องพักจำนวนมาก การบริการอย่างใกล้ชิดจึงเป็นไปได้ยาก และ 3.ด้านกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย (Target Market) เน้นกลุ่มลูกค้าเฉพาะกลุ่มที่ต้องการหาความแตกต่างไปจากโรงแรมมาตรฐานทั่วไป ซึ่งเป็นลูกค้าที่รายได้เฉลี่ยสูง
จึงอาจกล่าวได้ว่าบูติคโฮเทลเป็นโรงแรมขนาดเล็ก จำนวนห้องไม่เกิน 150 ห้อง มีลักษณะเด่นด้านสถาปัตยกรรมการตกแต่ง การบริการ และการเน้นตลาดเป้าหมายที่ต้องการความแตกต่างจากโรงแรมทั่วไปที่เน้นการตลาดมวลรวมหรือความหรูหราและสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ขณะที่บูติคโฮเทลอาจไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกเลยก็ได้
ถึงแม้จะยังไม่มีคำจำกัดความที่แน่ชัดของบูติคโฮเทล และขนาดของโรงแรม แต่บูติคโฮเทลอาจแยกออกได้เป็น 2 รูปแบบตามลักษณะที่ตั้ง คือ 1.ซิตี้ โฮเต็ล เน้นให้ความสำคัญกับที่ตั้งที่อยู่ในเมืองที่เป็นย่านเศรษฐกิจ ความสะดวกสบาย ความนิยมและความหรูหราของละแวกนั้น มักตั้งอยู่ในเมืองที่น่าอยู่ และเมืองเศรษฐกิจ การตกแต่งผสมผสานประวัติศาสตร์และศิลปะที่ถูกพิจารณาว่าทันสมัย มีเทคโนโลยี แต่เสริมสร้างบรรยากาศและโปรโมตอารมณ์ที่สอดคล้องระหว่างลูกค้ากับตัวตึก
และ 2.รีสอร์ต โฮเต็ล มีความแปลก เล็กและให้ความสนิทสนมใกล้ชิด เสนอความรู้สึกที่ไม่ใช่ความหรูหรา ทำเลที่ตั้งอาจซ่อนอยู่ในที่ไกล เช่น เกาะหรือหุบเขาที่ยากต่อการเดินทาง มีความทันสมัยที่ยังมีกลิ่นอายธรรมชาติ มีบริการที่พิเศษ อาจไม่มีการโปรโมตเรื่องอิเล็กทรอนิกส์ แต่เสนอในรูปแบบของสปา สระว่ายน้ำส่วนตัว เป็นต้น
บูติคโฮเทลเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อต้นปีค.ศ.1980 จนปีถัดมาบูติคโฮเทล 2 แห่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการ คือ เดอะ เบลก-The Blake ในกรุงลอนดอน ประเทศ อังกฤษ ด้วยจำนวนห้องพักเพียง 50 ห้อง และเดอะ เบดฟอร์ด-The Bedford ในซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา ก่อนขยายสู่ทั่วโลก
บูติคโฮเทลมีชื่อเรียกแตกต่างกันหลายชื่อ ไม่ว่าจะเป็น "ฟังกี้ ชิก Funky-Chic" หรือ "ฮิป โฮเต็ล Hip-hotel" จนกระทั่งโรงแรมเดอะเบลกใช้คำว่า Boutique Hotel อย่างเป็นทางการ ความหมายของ Boutique (n) ตามพจนานุกรมออกซ์ฟอร์ด คือร้านขนาดเล็ก มักขายเสื้อผ้าและเครื่องประดับที่ทันสมัย อย่างไรก็ตามปัจจุบันยังไม่มีการให้นิยามแก่บูติคโฮเทลได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นลักษณะของการตกแต่ง และจำนวนห้องพัก แต่ส่วนใหญ่ให้ความหมายตามลักษณะของโรงแรมที่ประสบความสำเร็จ
ลักษณะเด่นของบูติคโฮเทล ที่ได้รับการยอมรับว่าทำให้ต่างจากโรงแรมระดับมาตรฐานทั่วไปมีอยู่ 3 ด้าน คือ 1.ด้านสถาปัตยกรรม (Architecture and design Style) เน้นการตกแต่งที่มีเอกลักษณ์ที่สอดคล้องกับความเป็นตัวตนของลูกค้า บางแห่งตกแต่งแบบโบราณ บางแห่งตกแต่งแบบทันสมัย ทั้งนี้ บูติคโฮเทลที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่มักตกแต่งโดยผสมผสานด้านประวัติศาสตร์กับความทันสมัย เพราะสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้มากกว่าการเน้นไปในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง
2.ด้านการบริการ (Service) เน้นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างพนักงานกับลูกค้า ซึ่งบางแห่งพนักงานทุกคนจำชื่อลูกค้าที่เข้าพักได้ ทำให้ ลูกค้าเกิดความรู้สึกอบอุ่นเสมือนเป็นคนพิเศษ ในขณะที่โรงแรมทั่วไป หรือโรงแรมที่มีเครือข่ายขนาดใหญ่ไม่สามารถทำได้เพราะมีจำนวนห้องพักจำนวนมาก การบริการอย่างใกล้ชิดจึงเป็นไปได้ยาก และ 3.ด้านกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย (Target Market) เน้นกลุ่มลูกค้าเฉพาะกลุ่มที่ต้องการหาความแตกต่างไปจากโรงแรมมาตรฐานทั่วไป ซึ่งเป็นลูกค้าที่รายได้เฉลี่ยสูง
จึงอาจกล่าวได้ว่าบูติคโฮเทลเป็นโรงแรมขนาดเล็ก จำนวนห้องไม่เกิน 150 ห้อง มีลักษณะเด่นด้านสถาปัตยกรรมการตกแต่ง การบริการ และการเน้นตลาดเป้าหมายที่ต้องการความแตกต่างจากโรงแรมทั่วไปที่เน้นการตลาดมวลรวมหรือความหรูหราและสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ขณะที่บูติคโฮเทลอาจไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกเลยก็ได้
ถึงแม้จะยังไม่มีคำจำกัดความที่แน่ชัดของบูติคโฮเทล และขนาดของโรงแรม แต่บูติคโฮเทลอาจแยกออกได้เป็น 2 รูปแบบตามลักษณะที่ตั้ง คือ 1.ซิตี้ โฮเต็ล เน้นให้ความสำคัญกับที่ตั้งที่อยู่ในเมืองที่เป็นย่านเศรษฐกิจ ความสะดวกสบาย ความนิยมและความหรูหราของละแวกนั้น มักตั้งอยู่ในเมืองที่น่าอยู่ และเมืองเศรษฐกิจ การตกแต่งผสมผสานประวัติศาสตร์และศิลปะที่ถูกพิจารณาว่าทันสมัย มีเทคโนโลยี แต่เสริมสร้างบรรยากาศและโปรโมตอารมณ์ที่สอดคล้องระหว่างลูกค้ากับตัวตึก
และ 2.รีสอร์ต โฮเต็ล มีความแปลก เล็กและให้ความสนิทสนมใกล้ชิด เสนอความรู้สึกที่ไม่ใช่ความหรูหรา ทำเลที่ตั้งอาจซ่อนอยู่ในที่ไกล เช่น เกาะหรือหุบเขาที่ยากต่อการเดินทาง มีความทันสมัยที่ยังมีกลิ่นอายธรรมชาติ มีบริการที่พิเศษ อาจไม่มีการโปรโมตเรื่องอิเล็กทรอนิกส์ แต่เสนอในรูปแบบของสปา สระว่ายน้ำส่วนตัว เป็นต้น
วันจันทร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2558
ความรู้เกี่ยวกับ ที่พัก โรงแรม
การหาข้อมูลในการท่องเที่ยว มีความสำคัญมากๆ นะคะ ยิ่งปัจจุบันคนรุ่นใหม่ไม่ค่อยนิยมการไปกับทัวร์ แต่มีความต้องการของตัวเองอย่างชัดเจน ว่าจะนอนที่ไหน กินอะไร ทำอะไร ทุกอย่างตามใจฉัน และเข้ากับไลฟ์สไตล์ของฉันเท่านั้น อย่ามาบังคับกัน ขอร้อง.. ฉะนั้นเวลาหาข้อมูลเนี่ย ก็ต้องละเอียดกันหน่อยละ รู้ว่าเก่งภาษาอังกฤษ แต่บางที ของบางอย่างมันก็ผิดพลาดกันได้
ความรู้เกี่ยวกับ ที่พัก โรงแรม
ในเมืองไทยนั้น เรามักจะให้ข้อมูลที่พักแก่นักท่องเที่ยว ตามชนิดของที่พัก เช่น Hotels, Serviced apartments, Condo, Apartments, Bungalow
แต่เวลาไปต่างประเทศเนี่ย ก็ควรร็นิ๊ดนึงว่าที่พักต่างๆ ที่เค้าเรียกอ่ะ หน้าตาเป็นไง จะได้ไม่ผิดหวัง จองไปแล้วทั้งทริป แต่กลับไม่ได้อย่างใจ จะเปลี่ยนก็เสียดายตังค์ จ่ายไปหมดแล้วหนิ
มาดูกันดีกว่าว่าที่พักในแบบต่างๆ ที่คุณจะเจอหากเดินทางไปในแถบยุโรป กับอเมริกาเนี่ย มีอะไรบ้าง
- Hotel ใช่ค่ะ แปลว่าโรงแรม แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณเดินทางไปในส่วนไหนของโลกด้วยนะ นี่...ขู่ซะ เอาให้ชัวร์ต้องเสิร์ชใน Expedia.com เค้าซะหน่อย ว่ารายละเอียดหน้าตาเป็นไง เพราะคำว่า Hotel เนี่ย บางแห่งอาจหมายความถึงตึกเล็กๆ แถมมีห้องพักไม่เกิน 20 ห้อง ในขณะที่บางส่วนของโลก อย่างที่เรารู้ๆ กันเนี่ย ก็เป็นโรงแรมแบบอลังการงานสร้าง หรูหราหมาเห่า (ไม่ทั่ว) แบบที่เห็นตามเมืองใหญ่ทั่วไปนะ
- Inn เป็นโรงแรมแล็กๆ ถ้าเป็นภาษาไทยเอาแบบมันส์ๆ หน่อย ก็แปลว่าโรงแรมจิ้งหรีดละกัน จะได้เห็นภาพความเล็กแอนด์โทรม (ฮา) โรงแรมแบบนี้มักจะอยู่ตามชานเมือง ตามริมทางไฮเวย์ หรือนอกเมืองไปเลย สำหรับคนที่เดินทางไกลด้วยรถ แล้วก็แวะพักผ่อนนอนค้างคืน เพื่อที่รุ่งขึ้นจะได้ไปต่อ ในเมืองใหญ่ๆ จะไม่ค่อยมีที่พักประเภทนี้สักเท่าไหร่หรอก สภาพเหรอ...ส่วนใหญ่ก็จะมีขนาดเล็กแบบไม่เกิน 2 ชั้น ราคาก็ค่อนข้างถูก และก็อย่างที่ทราบนะฮ้า ของถูกก็ไม่ค่อยจะมีดี ชิมิชิมิ อ่ะ..แต่เค้าก็มีดี ตรงที่มีอาหารบริการด้วยนะ บางที่มีผับด้วย ไม่ได้ให้อยู่แบบอดๆ อยากๆ
- Motel อันนี้ค่อนข้างใกล้เคียงกับที่พักแบบอินน์ แต่อาจจะสบายกว่านี๊ดนึง ต่างกันตรงที่โมเต็ลเนี่ยไม่มีอาหารบริการ เรียกว่าเอาไว้ซุกหัวนอนจริงๆ
- Lodge ทีพักแบบนี้มักจะพบตามแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นภูเขา เป็นที่พักที่อยู่สบาย ส่วนใหญ่จะมีเตาผิงเอาไว้ในห้องด้วยสำหรับเวลาอากาศหนาว โรแมนติกซะไม่มีอ่ะ
- B&B(Bed & Breakfast) มักจะพบได้ตามชนบทของประเทศทางยุโรปและอเมริกา ส่วนใหญ่เป็นบ้านที่เจ้าของมีห้องเหลือนิดหน่อย เอามาทำเป็นที่พักรับรองนักเดินทาง แบบน่ารักๆ เช้าขึ้นมาคุณแม่ก็ลงมือปรุงอาหารให้กินกัน B&B มักจะมีห้องไม่เกิน 5-6 ห้องต่อที่ และส่วนใหญ่จะเก๋แอนด์อบอุ่นด้วย เนื่องจากเจ้าของก็ดูแลเอาใจใส่สุดฤทธิ์ ... ดีขนาดนี้ ถึงจะเล็กก็เล็กพริกขี้หนู ฉะนั้นอย่าได้หวังว่าที่พักแบบนี้จะราคาถูกนะ ฝันไปก่อน และถ้าคุณเป็นคนที่ไม่ชอบสัตว์เลี้ยงล่ะก็ เวลาจองขอให้ถามเจ้าของบ้านด้วยว่ามีหมา แมว หรือสัตว์เลี้ยงอะไรที่เขาปล่อยให้เดินเพ่นพ่านไปทั่วหรือเปล่า บอกไว้ก่อน เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน
- Apartment อย่าคิดว่าหน้าตาเหมือนอพาร์ตเมนท์โทรมๆ แบบไทยๆ เชียว เพราะต่างประเทศเนี่ย ของเค้าดูดีอยู่สบาย มีหลายห้องทีเดียว เหมาะกับเวลาไปเที่ยวกันเป็นกลุ่มหลายคน และใช้เวลาอยู่ในเมืองเป็นส่วนใหญ่ สู้ค่าโรงแรมดีๆ ไม่ไหว อพาร์ตเมนท์ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่โอเคมากๆ มีให้เลือกตั้งแต่ 1-3 ห้องนอน เช็คให้ดีๆ เพราะบางที่ให้อยู่เป็นอาทิตย์ได้ แต่บางที่บังคับให้พักเป็นเดือน
- Studio อันนี้เหมาะกับการไปอยู่แบบ long stay สุดๆ เพราะไม่มีให้เช่าเป็นรายวันนะ ขอบอก แต่เรื่องความชิค... หายห่วง เก๋สุดยอด ที่พักแบบนี้มักจะอยู่ในเมืองและในย่านที่ขึ้นชื่อเรื่องความเก๋ไก๋ไม่เป็นรองใคร อย่างย่านโซโหที่นิวยอร์ค Rive Gauche ที่แพรีส (ขอออกเสียงแบบมีจริตนิดนึงให้เหมาะกับสถานที่เค้า) ขนาดของห้องเนี่ยเท่ารูหนูหรือใหญ่กว่าเล็กน้อย อยู่ได้คนเดียว มากสุดก็ 2 คนแบบเบียดๆ ต้องรักกันจริง ไม่งั้นมีเคือง... การตกแต่งก็อื้อหือ หายห่วงอีกแหละ ถ้าจะไปอยู่ก็อย่าลืมแต่งตัวให้เข้ากับสถานที่ด้วยล่ะ เดี๋ยวอายเพื่อนข้างห้อง
อยากจะอยู่แบบไหนก็เช็คให้แน่ใจก่อนว่า ที่พักแบบต่างๆ หมายความถึงอะไรกันแน่ และทางที่ดี ควรเห็นรูปก่อนเพื่อ confirm สภาพ จะดีมาก
เสียเงินไปเที่ยวทั้งที ไม่ควรจะเสียอารมณ์ด้วย จริงไหม
ข้อมูลจาก http://www.chicministry.com
ความรู้เกี่ยวกับ ที่พัก โรงแรม
จามส์เฮ้าส์ เกาะกูด www.chamshouse.com
ในเมืองไทยนั้น เรามักจะให้ข้อมูลที่พักแก่นักท่องเที่ยว ตามชนิดของที่พัก เช่น Hotels, Serviced apartments, Condo, Apartments, Bungalow
แต่เวลาไปต่างประเทศเนี่ย ก็ควรร็นิ๊ดนึงว่าที่พักต่างๆ ที่เค้าเรียกอ่ะ หน้าตาเป็นไง จะได้ไม่ผิดหวัง จองไปแล้วทั้งทริป แต่กลับไม่ได้อย่างใจ จะเปลี่ยนก็เสียดายตังค์ จ่ายไปหมดแล้วหนิ
มาดูกันดีกว่าว่าที่พักในแบบต่างๆ ที่คุณจะเจอหากเดินทางไปในแถบยุโรป กับอเมริกาเนี่ย มีอะไรบ้าง
- Hotel ใช่ค่ะ แปลว่าโรงแรม แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณเดินทางไปในส่วนไหนของโลกด้วยนะ นี่...ขู่ซะ เอาให้ชัวร์ต้องเสิร์ชใน Expedia.com เค้าซะหน่อย ว่ารายละเอียดหน้าตาเป็นไง เพราะคำว่า Hotel เนี่ย บางแห่งอาจหมายความถึงตึกเล็กๆ แถมมีห้องพักไม่เกิน 20 ห้อง ในขณะที่บางส่วนของโลก อย่างที่เรารู้ๆ กันเนี่ย ก็เป็นโรงแรมแบบอลังการงานสร้าง หรูหราหมาเห่า (ไม่ทั่ว) แบบที่เห็นตามเมืองใหญ่ทั่วไปนะ
- Inn เป็นโรงแรมแล็กๆ ถ้าเป็นภาษาไทยเอาแบบมันส์ๆ หน่อย ก็แปลว่าโรงแรมจิ้งหรีดละกัน จะได้เห็นภาพความเล็กแอนด์โทรม (ฮา) โรงแรมแบบนี้มักจะอยู่ตามชานเมือง ตามริมทางไฮเวย์ หรือนอกเมืองไปเลย สำหรับคนที่เดินทางไกลด้วยรถ แล้วก็แวะพักผ่อนนอนค้างคืน เพื่อที่รุ่งขึ้นจะได้ไปต่อ ในเมืองใหญ่ๆ จะไม่ค่อยมีที่พักประเภทนี้สักเท่าไหร่หรอก สภาพเหรอ...ส่วนใหญ่ก็จะมีขนาดเล็กแบบไม่เกิน 2 ชั้น ราคาก็ค่อนข้างถูก และก็อย่างที่ทราบนะฮ้า ของถูกก็ไม่ค่อยจะมีดี ชิมิชิมิ อ่ะ..แต่เค้าก็มีดี ตรงที่มีอาหารบริการด้วยนะ บางที่มีผับด้วย ไม่ได้ให้อยู่แบบอดๆ อยากๆ
- Motel อันนี้ค่อนข้างใกล้เคียงกับที่พักแบบอินน์ แต่อาจจะสบายกว่านี๊ดนึง ต่างกันตรงที่โมเต็ลเนี่ยไม่มีอาหารบริการ เรียกว่าเอาไว้ซุกหัวนอนจริงๆ
- Lodge ทีพักแบบนี้มักจะพบตามแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นภูเขา เป็นที่พักที่อยู่สบาย ส่วนใหญ่จะมีเตาผิงเอาไว้ในห้องด้วยสำหรับเวลาอากาศหนาว โรแมนติกซะไม่มีอ่ะ
- B&B(Bed & Breakfast) มักจะพบได้ตามชนบทของประเทศทางยุโรปและอเมริกา ส่วนใหญ่เป็นบ้านที่เจ้าของมีห้องเหลือนิดหน่อย เอามาทำเป็นที่พักรับรองนักเดินทาง แบบน่ารักๆ เช้าขึ้นมาคุณแม่ก็ลงมือปรุงอาหารให้กินกัน B&B มักจะมีห้องไม่เกิน 5-6 ห้องต่อที่ และส่วนใหญ่จะเก๋แอนด์อบอุ่นด้วย เนื่องจากเจ้าของก็ดูแลเอาใจใส่สุดฤทธิ์ ... ดีขนาดนี้ ถึงจะเล็กก็เล็กพริกขี้หนู ฉะนั้นอย่าได้หวังว่าที่พักแบบนี้จะราคาถูกนะ ฝันไปก่อน และถ้าคุณเป็นคนที่ไม่ชอบสัตว์เลี้ยงล่ะก็ เวลาจองขอให้ถามเจ้าของบ้านด้วยว่ามีหมา แมว หรือสัตว์เลี้ยงอะไรที่เขาปล่อยให้เดินเพ่นพ่านไปทั่วหรือเปล่า บอกไว้ก่อน เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน
- Apartment อย่าคิดว่าหน้าตาเหมือนอพาร์ตเมนท์โทรมๆ แบบไทยๆ เชียว เพราะต่างประเทศเนี่ย ของเค้าดูดีอยู่สบาย มีหลายห้องทีเดียว เหมาะกับเวลาไปเที่ยวกันเป็นกลุ่มหลายคน และใช้เวลาอยู่ในเมืองเป็นส่วนใหญ่ สู้ค่าโรงแรมดีๆ ไม่ไหว อพาร์ตเมนท์ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่โอเคมากๆ มีให้เลือกตั้งแต่ 1-3 ห้องนอน เช็คให้ดีๆ เพราะบางที่ให้อยู่เป็นอาทิตย์ได้ แต่บางที่บังคับให้พักเป็นเดือน
- Studio อันนี้เหมาะกับการไปอยู่แบบ long stay สุดๆ เพราะไม่มีให้เช่าเป็นรายวันนะ ขอบอก แต่เรื่องความชิค... หายห่วง เก๋สุดยอด ที่พักแบบนี้มักจะอยู่ในเมืองและในย่านที่ขึ้นชื่อเรื่องความเก๋ไก๋ไม่เป็นรองใคร อย่างย่านโซโหที่นิวยอร์ค Rive Gauche ที่แพรีส (ขอออกเสียงแบบมีจริตนิดนึงให้เหมาะกับสถานที่เค้า) ขนาดของห้องเนี่ยเท่ารูหนูหรือใหญ่กว่าเล็กน้อย อยู่ได้คนเดียว มากสุดก็ 2 คนแบบเบียดๆ ต้องรักกันจริง ไม่งั้นมีเคือง... การตกแต่งก็อื้อหือ หายห่วงอีกแหละ ถ้าจะไปอยู่ก็อย่าลืมแต่งตัวให้เข้ากับสถานที่ด้วยล่ะ เดี๋ยวอายเพื่อนข้างห้อง
อยากจะอยู่แบบไหนก็เช็คให้แน่ใจก่อนว่า ที่พักแบบต่างๆ หมายความถึงอะไรกันแน่ และทางที่ดี ควรเห็นรูปก่อนเพื่อ confirm สภาพ จะดีมาก
เสียเงินไปเที่ยวทั้งที ไม่ควรจะเสียอารมณ์ด้วย จริงไหม
ข้อมูลจาก http://www.chicministry.com
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)